2/07/2553

น้ำมะระปั่น


ประโยชน์ของน้ำมะระปั่น

มะระ เป็นผักผลที่มีรสชาติขม แต่ในความขมก็มีประโยชน์ วันนี้เกร็ดความรู้เลยมีเรื่องนี้มาฝากกัน...

มะระ เป็นผักผลผิวขรุขระ ที่มีรสขม เน้นที่มะระจีน เพราะเนื้อมะระจีนนี้ประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินบีรวม และเกลือแร่ชนิดต่าง ๆ เหตุที่เนื้อมะระมีรสขม เพราะ มีสารอัลคาร์ลอยด์ชื่อ โมโมดิดิน ช่วยทำให้เจริญอาหาร และเป็นยาระบายอ่อน ๆ สามารถต้านเชื้อไวรัส แถมล่าสุดผลการวิจัยค้นพบว่า มะระขี้นก (ผลเล็ก ๆ ที่แนมกับน้ำพริก )ช่วยต้านเชื้อไวรัส H I V ได้อีกด้วย

วิธีทำน้ำมะระปั่น (จำนวน 3แก้ว)

เนื้อมะระสดหั่นชิ้น 2 ถ้วย
น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำต้มสุกแช่เย็น 1 ถ้วย
น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย

เลือกมะระจีนแก่จัด ดูที่เปลือกสีเขียวอมขาว ล้างน้ำให้สะอาด ผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด เพื่อลดความขมและกลิ่นเหม็นเขียว เมื่อเย็นได้ที่ นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้วแล้วดื่ม สูตรนี้ทานแล้วจะช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย

น้ำเห็ดหลินจือ


ส่วนผสม

เห็ดหลินจือแห้ง 6 กรัม (10 ชิ้น)
น้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ลิตร (2 ขวดโค๊กขนาด 1 ลิตร)

วิธีทำ
1 นำเห็ดหลินจือแห้งและน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อเคลือบหรือหม้อดินยิ่งดี
2 ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟต้มจนเดือด แล้วหรีไฟลงให้น้ำเดือดปุดๆ ต่อไปประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงยกลง
3 ควรดื่มน้ำสกัดจากเห็ดที่มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิร่างกาย ให้ดื่มแทนน้ำได้ ทั้งวัน (ดื่มเพื่อสุขภาพ)

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยา สารอาหารที่มีอยู่ในเห็ดหลินจือ จะเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ให้ ทำหน้าที่ปกติ และสามารถต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ต้านการจับตัวของ ลิ่มเลือด รวมทั้งลดน้ำตาลในเลือด ฯลฯ
เป็นยาอายุวัฒนะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายเกือบทุกระบบของร่างกาย เช่น
- ระบบไหลเวียนของโลหิต เช่นโรคที่เกิดจากการมีโคเรสเตอรอลในเลือดสูง เส้นเลือดอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง โรคหัวใจ และรอบเดือนไม่ปกติของสตรี
- ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท้องผูก ทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร
- โรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
- โรคอื่น ๆ เช่นโรคตับอักเสบโรคไขข้ออักเสบโรคอ้วน อัมพาต อัมพฤกษ์ โรคไตอักเสบ โรคปวดหัวข้างเดียว นอนไม่หลับ และโรคเครียด

น้ำมะตูม


ส่วนผสม

มะตูมแห้ง 8 กรัม (2 ชิ้น)
น้ำตาลทราย 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)

วิธีทำ
นำมะตูมแห้งมาล้างให้สะอาด ปิ้งไฟให้หอม นำไปใส่หม้อ เติมน้ำ ตั้ง ไฟเคี่ยวสักครู่ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายตั้งไฟให้ละลาย ชิมรสตามชอบ ยกลง
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยาเป็นยาระบาย ขับลม ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บารุงธาตุ ทำให้ขับถ่ายดี และ เจริญอาหาร ขับ เสมหะ แก้อาการร้อนในได้ดี

น้ำตะไคร้


ส่วนผสม

ตะไคร้ 20 กรัม (1 ต้น)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)

วิธีทำ
นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อนสั้น ทับให้แตก ใส่หม้อต้มกับ น้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบหรืออาจเอาเหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดิน ล้างให้สะอาด ฐานเป็นแว่นบาง ๆ คั่วไฟอ่อน ๆ พอเหลือง ชงเป็นชา ดื่มวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ถ้วยชา จะช่วยขับปัสสาวะให้สะดวก

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยัง แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วย เพิ่มกลิ่นหอมให้กับอาหาร
คุณค่าทางยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับ ปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดีช่วยลดพิษของสารแปลก ปลอมในร่างกาย รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต

น้ำขิง


ส่วนผสม

ขิงสด 15 กรัม (ขนาด 1” x 15” 5 ชิ้น)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)
วิธีทำ

นำขิงมาปอกเปลือกล้างให้สะอาดหั่นเป็นแว่นใส่หม้อใส่น้ำ ตั้งไฟต้ม น้ำจนเดือดสักครู่ยกลง กรองเอาขิงออก ใส่น้ำเชื่อม ชิมรสตามชอบ หรืออีกวิธีหนึ่ง ใช้เหง้าขิงแก่ฝนกับน้ำมะนาว ใช้กวาดคอ หรือใช้ เหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย นั้นเอาน้ำและใส่เกลือนิดหน่อยใช้จิบบ่อย ๆ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร พรั่งพร้อมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น มีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยัง มีสารเบต้า-แคโรทีนอีกด้วยซึ่งช่วยต้านโรคมะเร็ง
คุณค่าทางยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม และขับเสมหะ แก้อาการ คลื่นไส้ อาเจียน เมารถเมาเรือ ช่วยเจริญอาหาร กินข้าวได้นอกจากนั้นยังลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยย่อยอาหารโดยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ต่าง ๆ ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

น้ำกระเจี๊ยบแดง


ส่วนผสม

ดอกกระเจี๊ยบสด/แห้ง 20 กรัม (5 ดอก)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
น้ำเปล่า 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนคาว)

วิธีทำ
1 เอาดอกกระเจี๊ยบสดหรือแห้งก็ได้ ล้างน้ำทำความสะอาดนำใส่หม้อ ต้มจนเดือด แล้วลดไฟลงอ่อน ๆ เคี่ยวเรื่อย ๆ จนน้ำเป็นสีแดง จนเข้มข้น
2. เอาดอกกระเจี๊ยบขึ้นจากหม้อต้ม แล้วเอาน้ำเชื่อมและเกลือใส่ลงไป ปล่อยให้น้ำกระเจี๊ยบเดือด 1 นาที ก็ยกลง ชิมรสตามใจชอบ
3. เอาขวดแม่โขงมาล้างทำความสะอาด ต้มในน้ำเดือด 20 นาที นำ น้ำกระเจี๊ยบแดงมากรอก แล้วปิดจุกให้แน่น เก็บไว้ได้นาน (ควร แช่ในตู้เย็น)
หรืออีกวิธีหนึ่ง นำดอกกระเจี๊ยบมาตากแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผง นำผงกระเจี๊ยบครั้งละ 1 ช้อนชา ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิกรัม )

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหารให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตารอง ลงมามีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต เป็นยาระบาย อ่อนๆ และช่วยแก้อาการกระหายน้ำ

น้ำส้มคั้น


ส่วนผสม

ส้มเขียวหวาน 220 กรัม (3 ผลขนาดกลาง)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนชา)

วิธีทำ

นำส้มมาล้างเปลือกให้สะอาดใช้มีดผ่าขวางลูก คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือ ตักเอาเมล็ดออก ชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอมาก ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ช่วยบำรุง กระดูก และ ฟัน
คุณค่าทางยาป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออกตาม ไรฟัน

น้ำสับปะรด


ส่วนผสม

น้ำสับปะรด 240 กรัม (1/4 ผลใหญ่)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
นำสับปะรดล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วล้างอีกครั้ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีแคลเซียม และฟอสฟอรัสมากช่วยบำรุงกระดูก และฟันรองลงมามีวิตามินซีช่วยป้องกันโรคเลือด ออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ลดอาการ อักเสบ บวม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยขับ เสมหะ

น้ำมะม่วง


ส่วนผสม

เนื้อมะม่วงดิบ 100 กรัม (ครึ่งผลเล็ก)
น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
เกลือป่น 1 กรัม (1/5 ช้อนชา)

วิธีทำ

เตรียมวิธีที่ 1 ใช้มะม่วงดิบ เช่น มะม่วงแก้วหรือมะม่วงแรด เป็นมะม่วง ที่มีรสเปรี้ยวไม่มากนัก จะได้น้ำมะม่วงที่มีรสกลมกล่อม ปอกเปลือกมะม่วงออก ล้างน้ำ สับให้เป็นเส้นๆ เล็กๆ คั้นกับน้ำสุก กรองด้วยผ้าขาวบาง เอากากออก เติม น้ำเชื่อม เกลือป่น ชิมดูตามใจชอบ ใส่น้ำแข็งดื่มจะได้น้ำมะม่วงใส สีขาวนวล มีรส หวานอมเปรี้ยว
เตรียมวิธีที่ 2 ใช้มะม่วงดิบ เหมือนกับวิธีที่ 1 คือสับเนื้อมะม่วงให้เป็น เส้นๆ ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสุก น้ำเชื่อม และเกลือป่นตามต้องการ ชิมดูรสตาม ใจชอบ น้ำมะม่วงที่เตรียมวิธีนี้จะขุ่นขาว เพราะมีเนื้อมะม่วงป่นอยู่
เตรียมวิธีที่3 ใช้มะม่วงสุก ล้างมะม่วงให้สะอาด ปอกเปลือก ฝานเนื้อเข้า เครื่องปั่น เดิมน้ำสุก เติมเกลือเล็กน้อย ชิมดูตามต้องการ ถ้าต้องการหวานให้เติม น้ำเชื่อมลงไป
น้ำมะม่วงควรเตรียมและดื่มให้หมดใน 1 วัน

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอและวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงสายตา ป้องกัน โรคเลือดออกตามไรฟันและยังมีฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็กเล็กน้อย
คุณค่าทางยาเป็นยาระบายอ่อน ๆ

น้ำมะเฟือง


ส่วนผสม

มะเฟืองหั่น 40 กรัม (1 ผลเล็ก)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนชา)
น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)

วิธีทำ
ล้างมะเฟืองที่แก่จัดให้สะอาด หั่น แกะเมล็ดออกแล้วนำใส่เครื่องปั่น เติม น้ำสุกปั่นละเอียดแล้วเติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมดูรสตามใจชอบ ถ้าต้องการเก็บ ไว้ดื่ม ให้ตั้งไฟให้เดือด 3-5 นาที กรอกใส่ขวด นึ่ง 20-30 นาที เย็นแล้วเข้า ตู้เย็น จะได้น้ำมะเฟืองสีเหลืองอ่อนๆ ดื่มแล้วชื่นใจ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร น้ำมะเฟืองมีสีเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นหอม ประกอบ ด้วยคุณค่าของวิตามินเอ วิตามินซี ฟอสฟอรัส และแคลเซียมเล็กน้อย
คุณค่าทางยาเป็นยาขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง ขับปัสสาวะ รวมทั้งป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

น้ำมะขาม


ส่วนผสม

เนื้อมะขามสด หรือเปียก 20 กรัม (2 ฝักใหญ่)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5ช้อนชา)
น้ำเปล่า 240 กรัม (16 ช้อนคาว)

วิธีทำ

นำมะขามสดไปลวกในน้ำต้มเดือด ตักขึ้นแกะเอาแต่เนื้อมะขาม นำไป ต้มกับน้ำตามส่วนผสม
ให้เดือด เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ แต่ถ้าใช้มะขามเปียก ควรแช่น้ำไว้สัก 1/2 ชั่วโมง เพื่อให้มะขามเปียก เปื่อยยุ่ยออกมารวมกับน้ำ ก่อนนำไปต้มจนเดือด แล้วปรุงด้วยน้ำเชื่อม และเกลือ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และมีแคลเซียมช่วย บำรงกระดูก รวมทั้งแก้กระหายน้ำ

คุณค่าทางยาช่วยขับเสมหะ แก้ไอ เป็นยาระบายท้อง ช่วยการ ขับถ่ายได้ดี ลดอาการโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

น้ำฝรั่ง


ส่วนผสม

ฝรั่งแก่จัด (หันชินเล็ก ๆ) 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
เกลือป่นเล็กน้อย 2 กรัม (2/5 ช้อนชา)

วิธีทำ

เลือกฝรั่งที่แก่จัด ล้างน้ำสะอาด ฝานเฉพาะเนื้อชิ้นเล็ก ๆ นำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุก ปั่นจนละเอียด แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามใจชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีสารเบต้า-คาโรทีน ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจับที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัว

คุณค่าทางยาช่วยลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วย เส้นเลือดอุดตัน

น้ำเชอรี่


ส่วนผสม
เชอรี่ 100 กรัม (7 ช้อนคาว)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม(1/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
เลือกเชอรี่เด็ดก้านล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่นใส่น้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียดนำไปกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่าต้มสุกส่วนที่เหลือใส่ลง ไปคั้นกับกากเชอรี่ให้แห้งมากที่สุดนำน้ำเชอรี่ที่คั้นได้ใส่น้ำเชื่อมเติมเกลือ ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออก ตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ


น้ำแตงโม

ส่วนผสม
เนื้อแตงโม 50 กรัม ( 5 ช้อนคาว)
น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5ช้อนชา)
น้ำเปล่าต้มสุก 150 กรัม (10 ช้อนคาว)
วิธีทำ
นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั้นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซี ช่วย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้ กระหายน้ำ

1/31/2553

สมุนไพร ลดความอ้วน

ดอกคำฝอย สมุนไพรลดความอ้วน
ดอกคำฝอย Safflower ,False Saffron , Saffron Thistle



ปัจจุบันนี้เครื่องดื่มประเภทสมุนไพรนับวันยิ่งเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เพราะจากที่นำมาเป็นเครื่องดื่มที่ปรุงรสให้ง่ายสะดวกแก่การดื่มแล้ว ยังมีคุณค่าทั้ง เป็นยาขับระดู บำรุง ประสาท บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต และอีกมากมาย

ดอกคำฝอย มักจะนำมาทำเป็นชาที่เรารู้จักกันดีว่า ชาดอกคำฝอยมีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับเหงื่อและเป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย ปัจจุบันนำมาใช้ในการลดความอ้วนด้วยการชงดื่ม

ดังนั้นเรามาเริ่มวิธีทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อย่าง น้ำดอกคำฝอย กันเถอะ โดยมีส่วนประกอบดังนี้

1. ดอกคำฝอย 1 กรัม
2. ต้มสุก 1 ถ้วย
3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ : เลือก ดอกคำฝอย ใหม่ ๆ จะมีสีแดงสด มีกลิ่นหอม ถ้าเป็นดอกที่เก่าเก็บจะมีสี แดงอมน้ำตาลกลิ่นไม่หอม ชงด้วยน้ำ เดือด ปิดฝาทิ้ง
ทิ้งไว้ 3-5 นาที กรองด้วย ผ้าขาวบาง จะได้ น้ำดอกคำฝอย สีเหลืองส้มเติมน้ำตาลทราย ดื่มเป็นครั้งคราว

ประโยชน์ : ดอก รสหวานร้อน เป็นยาขับระดู บำรุง ประสาท บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้ดีพิการ ขับเหงื่อ ใช้ระงับประสาท บำรุง โลหิต แก้ไขข้ออักเสบ แก้หวัดน้ำมูกไหล เกสร รสหวานร้อน บำรุงโลหิตระดูและแก้แสบร้อนตามผิวหนัง เมล็ด รส หวานเย็น เป็นยาถ่าย ขับเสมหะ แก้โรค ลมเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก น้ำมันจากเมล็ด รสร้อน แก้อัมพาต แก้ฝี แก้ขัดตามข้อและลดไขมันในเส้นเลือด

เครื่องดื่ม ดอกคำฝอย จึงเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของคนที่รักสุขภาพดี ๆ ถ้าใครยังไม่เคยลิ้มลองก็ควรจะหาดื่มบ้าง เพราะ ดอกคำฝอย มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย



คุณค่าด้านอาหาร
ใน เมล็ดดอกคำฝอย มีน้ำมันมาก สารใน ดอกคำฝอย พบว่าแก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้ ในประเทศจีน ดอกคำฝอย เป็นยาเกี่ยวกับสตรี ตำรายาที่ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้างไม่เป็นปกติหรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว มักใช้ดอกคำฝอยด้วยเสมอ โดยต้มน้ำแช่เหล้า หรือใช้วิธีตำพอกแต่มีข้อระวังคือ หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทาน

ไม่ว่าคุณจะใช้สมุนไพรตัวใดเพื่อลดน้ำหนักก็ตาม ควรจะปฏิบัติควบคู่ไปกับการกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดีขึ้น อย่าจดจ่อกับการใช้สมุนไพรอย่างเดียว เพราะการกินแค่สมุนไพรอาจจะทำให้คุณขาดสารอาหารและเสียชีวิตได้


ข้าวโอ๊ต สมุนไพรลดความอ้วน
รำข้าวโอ๊ต (Oat bran)



ข้าวโอ๊ต ( Oat ) เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูล Avena sativa ที่นิยมเพาะปลูกใน แถบยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากเจริญเติบโตได้ดี ในเขตหนาว ชาวยุโรปนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ข้าวโอ๊ต เป็นพืชที่ให้เมล็ดซึ่งมีคุณค่าทางอาหารมากมาย โดยเฉพาะจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต

รำข้าวโอ๊ต ( Oat Bran ) เป็นเส้นใย Fiber ที่ได้จากการขัดสี ข้าวโอ๊ต ให้ขาว หรือ คือเส้นใยบางๆ ที่ห่อหุ้มเมล็ด ข้าวโอ๊ต นั่นเอง โดยเราพบว่า รำข้าวโอ๊ต จะให้เส้นใยอาหาร หรือ fiber 2 ชนิด คือ

1. เส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้( Soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 95-98% ของปริมาณ เส้นใยอาหารทั้งหมด ซึ่งเมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้เกิดสารละลายที่มีลักษณะเป็นเจล โดยเมื่อรับประทานเข้าไป ไฟเบอร์นี้จะละลายในสารอาหารก่อนที่ สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นเจลของไฟเบอร์จะเกาะติดกับสารอาหาร โดยเฉพาะไขมัน ทำให้ไขมันและสารอาหารอื่นๆ ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และจะเอาอาหารขับออกทางอุจจาระ จึงทำให้ลดไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดได้

2. เส้นใยชนิดที่ไม่ละลายน้ำ( Non-soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 2-5 % ของ ปริมาณเส้นใยอาหารทั้งหมด โดยจะมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำ โดยจะดูดซับน้ำใว้กับตัวเองทำให้พองตัว เมื่อรับประทานเข้าไปจึงจะส่งผลให้ จึงทำให้ ปริมาตรของสารที่ต้องการขับถ่ายเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้เร็วขึ้น ป้องกันและรักษาปัญหาท้องผูกได้

ดังนั้นประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่ผลิตจาก รำข้าวโอ๊ต จึงนำมาใช้ในผู้ที่ต้องการลดน้ำตาลและไขมันในเลือด อาทิ ผู้ป่วยเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึง สารอาหารและวิตามินที่จำเป็นบางอย่างในอาหาร อาจ ถูกขับถ่ายออกไปด้วย

ขนาดที่รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม โดยรับประทานก่อนอาหาร 20-30 นาทีทั้ง 3 มื้อ และดื่มน้ำตามประมาณ 1-2 แก้ว ราคาที่ขายตาม ท้องตลาดหรือร้านขายยา ประมาณ 11-12 บาทต่อแคปซูล (1000 มิลลิกรัม) แพงเอาการอยู่เหมือนกันนะครับ

ข้าวโอ๊ตพบมากในประเทศแถบยุโรป เป็นไฟเบอร์ที่ช่วยลดการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย และรำข้าวโอ๊ตจะเกาะติดกับไขมันทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันไปได้น้อย อีกทั้งยังช่วยในการขับถ่าย ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ไม่ทำให้ท้องผูก รำข้าวโอ๊ต บรรจุอยู่ในรูปของแคปซูลราคาค่อนข้างสูง


แมงลัก สมุนไพรลดความอ้วน
แมงลัก Ocimum basilicum L. f. citratum Back



แมงลัก ,ก้อมก้อข้าว หรือ มังลัก เป็นพืชล้มลุกให้ไฟเบอร์สูง มีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ 25 เท่า ทำให้พองตัว เมื่อกินเข้าไปจึงทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอยู่ท้องนาน ซึ่งช่วยป้องกันการดูดซึมไขมันสู่กระแสเลือด ช่วยลดระดับไขมันและน้ำตาล ขับถ่ายได้ง่ายมากขึ้น บรรเทาอาการท้องผูก ช่วยลดการดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกาย

เมล็ดแมงลักช่วยการขับถ่ายเพราะเปลือกภายนอกจะสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อยทำให้เพิ่มกากและหล่อลื่น ทำให้ขับถ่ายสะดวก



มีการทดลองใช้เมล็ด แมงลัก โดยใช้ปริมาณ 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 240 ซี.ซี. หรือประมาณ 1 แก้ว ให้ผลเป็นยาระบายในคนปกติเช่นเดียวกับ psyllium 2 ช้อนชา โดยมีผลที่น่าสนใจ คือ เพิ่มจำนวนครั้งในการถ่าย เพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ เช่นเดียวกับการทดสอบในอาสาสมัคร 8 คน อายุระหว่าง 21-47 ปี โดยแต่ละคนจะผ่านการศึกษา 3 ระยะ ๆ ละ 10 วัน ได้แก่ ระยะควบคุม ระยะเมล็ดแมงลัก (รับประทานเมล็ดแมงลัก 10 กรัม ผสมน้ำตาลทราย 10 กรัม วันละ 2 ครั้ง) และระยะเม็ด psyllium (รับประทานยาถ่ายเมตามิวซิลชนิดรสส้ม 20 กรัม วันละ 2 ครั้ง) การเลือกลำดับแต่ละระยะใช้วิธี random ข้อมูลที่รวบรวมไว้ ได้แก่ รายการอาหารที่รับประทานโดยละเอียด เพื่อนำมาใช้คำนวณหาปริมาณ dietary fiber จำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ น้ำหนักรวมของอุจจาระในรอบ 7 วัน และ transit time ของ radiopaque markers ผลการศึกษาพบว่า ในระยะเมล็ดแมงลัก และระยะเมล็ด psyllium มีน้ำหนักอุจจาระสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ระหว่างระยะเมล็ดแมงลัก และระยะเม็ด psyllium ไม่มีความแตกต่างสำหรับจำนวนครั้ง และ transit time จากการศึกษาจะพบว่าเมล็ดแมงลักสามารถใช้เป็นยาระบายได้

ข้อควรระวังในการใช้

ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้เกิดอาการขาดน้ำ และอาจเกิดอาการลำไส้อุดตันได้โดยเฉพาะที่บดเป็นผง


หัวบุก สมุนไพรลดความอ้วน
หัวบุกหรือคอนยัค เป็นพืชล้มลุกคล้ายพืชตระกูลมัน มีสารกลูโคแมนแนนที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็ว เพราะพองตัวได้นานถึงครึ่งชั่วโมง และช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลในร่างกาย หัวบุกไม่ให้พลังงานแต่การวิจัยพบว่า หัวบุกมีส่วนช่วยในเรื่องลดความอ้วนน้อย หัวบุกมักจะถูกแปรรูปเป็นเส้นใยขุ่นคล้ายวุ้นเส้น หรือก้อนลูกเต๋าเล็ก ๆ นำมาผสมกับเครื่องดื่ม



การใช้บุกเป็นอาหารลดความอ้วน

บุกที่รับประทานได้มีเพียง 3 สายพันธุ์ โดยเฉพาะชนิดที่นำมา เป็นอาหารสำหรับลดความอ้วน คือ A. oncophyllus หรือบุกไข่ สาเหตุ ที่เรียกเป็นบุกไข่ คือ มีลักษณะพิเศษมีไข่อยู่ตามลำต้นที่สายพันธุ์อื่นของบุก ไม่มี พบมากที่จังหวัดลำปาง พะเยา ตาก เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์

สารสำคัญที่พบในบุก ที่สามารถเป็นอาหารลดความอ้วน คือ “กลูโคแมนแนน” (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 ชนิด คือ ดี-กลูโคส (D-glucose) และ (D-mannose) เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในรูปของใยอาหาร (dietary fiber) เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอินโดจีน เช่น ไทย ลาว เขมร เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น

ในประเทศญี่ปุ่น จะถือว่าการบริโภคบุกเป็นประเพณีที่สืบทอด กันมานานปี เรียกว่า “Konjac” (คอนจัค) และรวมถึงประเทศอื่นๆ ในแถบ ยุโรปและอเมริกา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันตะวันตก ฯลฯ ในขณะที่ ประเทศไทยเรียกพืชชนิดนี้ว่า “บุก” หรือ “กะบุก” และนิยมรับประทานใน รูปของยาเม็ดก่อนอาหารจะทำให้กินอาหารได้น้อย เพราะมีคุณสมบัติของ กลูโคแมนแนนที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การพองตัวในน้ำได้มาก

คุณค่าทางอาหารของบุก

จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของวุ้นบุก พบว่า วุ้นบุกไม่มี คุณค่าการให้พลังงานแคลอรีแก่ร่างกาย เนื่องจากไม่มีการย่อยสลายเป็น น้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามิน ไม่มีแร่ธาตุหรือสารอาหารใดๆ ที่เป็นประโยชน์ในระบบการสร้างเซลล์ของร่างกาย ดังนั้นเมื่อเทียบคุณค่า ทางอาหารของวุ้นบุกกับข้าว พบว่า ข้าวมีแคลอรีสูงกว่าวุ้นบุกถึง 10 เท่า

ข้อควรระวังในการบริโภควุ้นบุก

เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก ไม่ต่ำกว่า 20 เท่า ของ เนื้อวุ้นแห้ง ดังนั้นจึงไม่ควรบริโภควุ้นบุกภายหลังอาหาร ควรบริโภคก่อน อาหารไม่น้อยกว่า 30 นาที แต่การบริโภคอาหารที่ผลิตจากวุ้น เช่น เส้นวุ้น และวุ้นก้อน หรือแท่งนั้น บริโภคเป็นอาหารมื้อได้ เพราะได้ผ่านกรรมวิธี ซึ่งวุ้นได้ขยายตัวก่อนแล้ว การที่วุ้นหรือก้อนวุ้นจะพองตัวได้อีกนั้น จะเป็นไปได้น้อยมาก



ผลส้มแขก สมุนไพรลดความอ้วน
ข่าวดี…!! สำหรับเพื่อนๆ ผู้หญิง ที่กำลังอยากจะ ลดความอ้วน หรือเพื่อนๆ ผู้ชายที่อยากจะ ควบคุมน้ำหนัก แต่กลัวเรื่องสารเคมี และการใช้ยาต่างๆ วันนี้เราก็เลยหยิบเรื่อง การลดความอ้วน ด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา มาฝากเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนอาจจะคาดไม่ถึงเลยว่า ของใกล้ความเราขนาดนี้จะช่วยเราลดความอ้วนได้จริงหรือ? น่าตื่นเต้นจังเลย ถ้าอย่างนั้นไปกันเรยยย์



สมุนไพรลดความอ้วน จริงๆ แล้วก็มีมากมายหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ผลส้มแขก หัวบุก แมงลัก รำข้าวโอ๊ต ดอกคำฝอย มากมายจริงๆ สำหรับวันนี้ขอหยิบเอาเจ้า ผลส้มแขก มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังหน่อยว่า เจ้าผลส้มแขก นี้จะสามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก หรือลดความอ้วนได้อย่างไร

ผลส้มแขก (Garcinia Combogia)

ผลส้มแขก หรือ Garcinia Combogia เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลาน เป็นสมุนไพรที่พบมากทางภาคใต้ มีรูปร่างคล้ายผลฟักทองขนาดเล็ก มีการวิจัยแล้วว่าในส้มแขกนั้นมีสาร HCA ซึ่งเป็นตัวยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกิน เปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นพลังงาน ปัจจุบันผลส้มแขกจึงถูกนำมาใช้ในการลดความอ้วน ซึ่งบรรจุในรูปของแคปซูลหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป



กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb’s cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผล ทำให้รูปร่างดีขึ้น

วิธีการ รับประทานสารสกัดส้มแขก

แนะนำให้กินขนาด 600 mgครั้งละ 2 เม็ด (ถ้า 300 mg ใช้มื้อละ สี่เม็ด) วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมงพร้อมกับดื่มน้ำตามหลัง ประมานหนึ่งแก้ว ซึ่งจะทำยาให้ดูดซึมได้ดีที่สุด แต่ขณะที่ยาแตกตัวในกระเพาะอาหารบางคนอาจะได้กลิ่นของส้มแขกซึ่งมีกลิ่นหอมคล้ายขนมปังปิ้ง ถ้าไม่ชอบหรือ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ก็แนะนำให้เปลี่ยนมากินหลังอาหารหรือพร้อมกับอาหารได้ แต่การดูดซึมจะลดน้อยกว่าการกินก่อนอาหารเล็กน้อย ในผู้ที่อ้วนมากหรือกินจุมากอาจเพิ่มปริมาณ เป็นวันละ 8-10 เม็ด (600 mg) ต่อวันได้ เมื่อรูปร่างหรือน้ำหนักตัวลดลงจนเป็นที่พอใจก็ค่อยๆลดปริมาณ ของส้มแขก ลงจนกระทั่งไม่ต้องใช้ และหลังจากหยุดใช้จะไม่มีผลในการหิวมากขึ้น หรือ อ้วนขึ้นกลับมา และยังพบว่านิสัยกินจุในบางคนจะลดลงไปด้วย
ผลส้มแขก จนถึงบัดนี้ ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำ แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก ด้วยวิธีใด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการกินอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ได้ผลเร็วและปลอดภัยกว่ายาใดๆ ทั้งหมด

1/27/2553

9 สูตรสมุนไพร เพื่อผิวหน้าสวย




อย่าปล่อยให้ผิวหม่นหมอง ไม่ผ่องใส เพราะขาดการใส่ใจดูแล แม้จะมีลูกด้วย ก็หาเวลาดูแลผิวหน้าให้สวยใสได้ ด้วยสูตรสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ ขอกระซิบว่าปลอดภัยแท้ ๆ แม้เครื่องสำอางราคาแพงก็ยังสู้ไม่ได้ค่ะ อย่าปล่อยให้ผิวหม่นหมอง ไม่ผ่องใส เพราะขาดการใส่ใจดูแล แม้จะมีลูกด้วย ก็หาเวลาดูแลผิวหน้าให้สวยใสได้ ด้วยสูตรสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ ขอกระซิบว่าปลอดภัยแท้ ๆ แม้เครื่องสำอางราคาแพงก็ยังสู้ไม่ได้ค่ะ


1. สูตรกระชับรูขุมขน ส่วนผสม น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมไข่ขาว 1 ฟอง คนให้เข้ากัน ทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา นวดเบา ๆ 5 นาที แล้วทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

2. สูตร ผิวเนียนนุ่ม ส่วนผสม ฝักทอง ? ถ้วย มะละกอ ? ก้วย ไข่ไก่ 1 ฟอง ผสมเข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด ชับพอหมาด นำส่วนผสมพอกให้ทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที แล้วใช้สำลี ชุบน้ำอุ่นเช็ดออก ทำอาทิตย์ละครั้ง

3. สูตรขจัดสิวเสี้ยน ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ลูก สเตอเบอรี่ 5 ลูก น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากันทาหน้า เว้นรอบดวงตา นวดเบา ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน 10 – 15 นาที เช็ดออก ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

4. สูตรลดความหมองคล้ำ ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ลูก น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากันทาทั่วหน้า ขัดเบา ๆ 10-15 นาที เช็ดออก ล้างด้วยน้ำเย็น ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

5. สูตรขจัดเชลล์ผิวเก่า ส่วนผสม บร็อกโคลีหั่นละเอียด ? ถ้วย นมสด ? ถ้วย ผสมเข้ากันทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา ขัดเบา ๆ พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที เช็ดออก ล้างด้วยน้ำเย็น ซับหน้าให้แห้ง ทาครีมบำรุงทับอีกครั้ง ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

6. สูตรผิวขาว เรียบเนียน ส่วนผสม มะละกอสุกงอม 1 ถ้วย นมสด ? ถ้วย น้ำส้มคั้น 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้ากันทาทั่วหน้า เว้นรอบตา พอกทิ้งไว้ 40-50 นาที ล้างออก ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

7. สูตรผิวชุ่มชื้น ใสปิ๊ง ส่วนผสม วุ้นว่านหางจระเข้ 1 ถ้วย มะม่วงสุก ? ถ้วย น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากันพอกหน้าบาง ๆ ก่อนเข้านอน ทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นตอนเช้า ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

8. สูตรลดผิวแสบร้อน ส่วนผสม คั้นน้ำแตงโม ? ถ้วย ผสมนมสด ? ถ้วย คนเข้ากันทาทั่วผิวที่โดนแดดทิ้งไว้ 30 นาที ใช้สำลีชุบน้ำเย็นจัด เช็ดออก หรือใช้เนื้อแตงโมสดถูผิวที่โดนแดด ทิ้งไว้จนแห้งแล้วใช้น้ำเย็นล้างออกก็ได้เช่นกันค่ะ

9. สูตรผิวกระจ่างใส ส่วนผสม แอปเปิลหั่นชิ้น 1 ลูก น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้ากัน ทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละครั้ง

1/10/2553

อัลมอนด์..องครักษ์พิทักษ์หัวใจ


อัลมอนด์..องครักษ์พิทักษ์หัวใจ


ชื่อของถั่วอัลมอนด์ถือว่าเป็นชื่อคุ้นเคยและคุ้นลิ้นของคนไทย แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศก็ตาม แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเจ้าถั่วเมล็กเล็ก ๆ นี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายหลากหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหัวใจของเรา จนถูกยกย่องให้เป็นองครักษ์พิทักษ์หัวใจเลยทีเดียว

อัลมอนด์เป็นถั่วประเภท Tree Nut ซึ่งให้คุณค่าสารอาหารต่อร่างกายมากกว่าถั่วประเภทคุมดิน อย่างถั่วลิสง ถั่วเขียว ฯลฯ และอัลมอนด์ยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะคุณประโยชน์ของอัลมอนด์มีมากมาย ในเมล็ดอัลมอนด์อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid) ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL (High-Density Lipoproteins) หรือไขมันดี และช่วยลดระดับ LDL (Low-Density Lipoproteins) หรือไขมันเลว

ทั้ง HDL และ LDL จะเป็นตัวพาคอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ไปตามกระแสเลือด หากร่างกายมี LDL หรือไขมันเลวในปริมาณมาก คอเลสเตอรอลจะเคลื่อนที่ลำบากและจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ตามเส้นเลือกที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจและสมอง และถ้าคอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดไปรวมตัวกับสารอื่น อาจเกิดเป็นลิ่มไขมันทำให้หลอดเลือดตีบตันขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หารเส้นเลือดตีบตันที่หัวใจ อาจทำให้เกิดโรคหัวใจ และหากเส้นเลือดตีบตันที่สมอง อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ แต่ถ้าร่างกายเรามีไขมันดี หรือ HDL มากว่า ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เพราะ HDL จะช่วยให้คอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ได้ดี และทำให้คอเลสเตอรอลหลุดออกจากผนังหลอดเลือด และส่งไปยังตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย

ในต่างประเทศมีการวิจัยถึงประโยชน์ของอัลมอนด์อย่างจริงจังกันมานานแล้ว ซึ่งผลการวิจัยจากหลากหลายสถาบันให้ผลตรงกันว่าอัลมอนด์มีบทบาทกับสุขภาพหัวใจอย่างการ เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอย่างกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน เมื่อรับประทานเป็นประจำจึงมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

ผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกายังพบว่า ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิงมือ ช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4% และถ้ารับประทาน 2 หยิงมือต่อวัน ช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4% รวมไปถึงผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ก็รายงานผลออกมาในรูปแบบเดียวกัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่ พบว่าในกลุ่มที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้นระดับ LDL ก็จะลดลง และระดับ HDL ก็เพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้วอัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไปเบอร์ โปรตีนจากพืชวิตามินบี วิตามินอี และเมก้าทรี ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนังเส้นผม ทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย รวมทั้งไฟเบอร์ที่ได้จากอัลมอนด์ยังช่วยลดการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

ผิวสวย หน้าใส ด้วยน้ำมะพร้าว


ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว




ทราบหรือไม่ว่า มะพร้าวก็สามารถทำให้ผิวสวย หน้าใส ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

- อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด

น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

- ชะลออาการอัลไซเมอร์

การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

- ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

- สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวสวย หน้าใส ก็ดื่มน้ำมะพร้าวกันดูได้.

รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง


รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง


รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง

ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอกกัน....


- นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด อย่าจิบมากจะทำให้ท้องผูกได้
ถ้าไม่อยากท้องเสีย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้...


วิธีทำ

- นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี

- นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อเท่านั้น เมล็ดทิ้งไป ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้
 
Copyright ***สมุนไพรเพื่อความงาม*** 2009. Powered by Blogger.Designed by Ezwpthemes .
Converted To Blogger Template by Anshul .